โปรแกรม OligioX คืออะไร ? ทำความรู้จักเทคโนโลยีความงามระดับโลก

OligioX คืออะไร

ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว การดูแลผิวหน้าไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดเสมอไป OligioX กลายเป็นหนึ่งในโซลูชันยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการผิวหน้ากระชับ เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องเสี่ยงกับมีดผ่าตัด บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ โปรแกรม OligioX อย่างละเอียดครบถ้วน ด้วยข้อมูลที่อิงจากงานวิจัยทางการแพทย์และแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ

สารบัญ OligioX คืออะไร

ทำความรู้จัก OligioX ความงามระดับโลก

ทำความรู้จัก OligioX ความงามระดับโลก

OligioX คือเครื่องยกกระชับผิวหน้ารุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้รับการรับรองจาก FDA (U.S. Food and Drug Administration) และ KFDA (Korea Food and Drug Administration) ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท WonTech จากประเทศเกาหลีใต้ เครื่องนี้ใช้เทคโนโลยี Monopolar Radiofrequency (RF) ที่ความถี่ 6.78 MHz เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ช่วยยกกระชับผิว ลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้เรียวคมชัดขึ้น

ตามงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Dermatology and Therapy ปี 2022 พบว่า OligioX สามารถส่งพลังงานสูงสุดถึง 400W และมีระบบควบคุมอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้การรักษาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยมีอัตราความพึงพอใจของผู้รับบริการถึง 82% หลังจากการทำครั้งเดียว

OligioX ทำงานอย่างไร ?

เทคโนโลยี Monopolar RF ของ OligioX ทำงานโดยการส่งคลื่นความถี่วิทยุผ่านหัวยิงเข้าสู่ชั้นผิวหนังในระดับความลึกที่แตกต่างกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนในบริเวณที่ต้องการรักษา ความร้อนนี้จะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเอง ผลิตคอลลาเจนใหม่ และปรับโครงสร้างเนื้อเยื่อให้แน่นขึ้น

กระบวนการทำงานของ OligioX แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก

  1. Button Cooling – ระบายความร้อนก่อนยิงเพื่อปกป้องผิวชั้นนอก
  2. Pre-Cooling – ทำความเย็นล่วงหน้าเพื่อเตรียมผิว
  3. Parallel Cooling – ระบายความร้อนพร้อมกับการส่งพลังงาน RF
  4. Post-Cooling – ทำความเย็นหลังยิงเพื่อลดการระคายเคืองและเพิ่มความสะดวกสบาย

ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Skin Research and Technology ปี 2024 พบว่าผู้ป่วยทั้งหมดรายงานการปรับปรุงของความยืดหยุ่นผิวทันทีหลังการรักษา และผลลัพธ์ยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือนหลังการทำ

ต่างจาก RF กับ HIFU ตรงไหน ?

การเปรียบเทียบระหว่าง Monopolar RF (อย่าง OligioX), RF แบบอื่น และ HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะทั้งสามเทคโนโลยีนี้ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ยกกระชับผิวหน้า แต่มีความแตกต่างที่สำคัญดังนี้ :

Monopolar RF (OligioX)

  • ใช้คลื่นความถี่วิทยุขั้วเดียว ส่งพลังงานลึกถึงชั้น Dermis และ SMAS
  • ให้ความร้อนแบบกระจายสม่ำเสมอ (3D Volumetric Heating)
  • เห็นผลทันทีและดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 1-3 เดือน
  • ความเจ็บปวดน้อยกว่า HIFU มาก
  • เหมาะกับผิวหย่อนคล้อยระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง

RF แบบ Bipolar/Multipolar

  • ใช้ขั้วไฟฟ้าหลายขั้ว พลังงานกระจายตัวในบริเวณตื้นกว่า
  • ความลึกในการรักษาไม่มากเท่า Monopolar
  • ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนเท่า Monopolar RF

HIFU (เช่น Ultherapy)

  • ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงแบบโฟกัส
  • ยิงลึกถึงชั้น SMAS โดยตรง
  • ผลลัพธ์ชัดเจนแต่ต้องรอนานกว่า (3-6 เดือน)
  • ความเจ็บปวดมากกว่า RF
  • ราคาแพงกว่า RF

การศึกษาเปรียบเทียบที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Cosmetic Laser Therapy พบว่า Monopolar RF มีระดับความเจ็บปวดน้อยกว่า HIFU อย่างมีนัยสำคัญ และผู้ป่วยสามารถกลับมาทำกิจกรรมประจำวันได้ทันทีหลังการรักษา

ทำไมคลินิกดังถึงนิยมใช้ OligioX

OligioX กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในคลินิกความงามชั้นนำทั่วโลกด้วยเหตุผลหลายประการ

  1. ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล – ผ่านการรับรองจาก FDA และ KFDA ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
  2. ระบบควบคุมความปลอดภัยสูง – มีระบบตรวจสอบความดันผิว การวัดอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ และระบบ Impedance Feedback ที่ช่วยป้องกันการเกิดผลข้างเคืองร้ายแรง
  3. ความสะดวกสบายสูง – ระบบ Real-Time Cooling 11 Pulses และระบบสั่นสะเทือน (Vibration) ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด – ตามการศึกษาทางคลินิกพบว่าผู้รับบริการ 100% รายงานการปรับปรุงของผิวหน้าทันทีหลังการรักษา
  5. ระยะเวลาการรักษาสั้น – ใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีต่อครั้ง ไม่มี Downtime
  6. Dual Mode Technology – มีทั้ง X Mode และ G Mode ที่สามารถปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับผิวแต่ละบุคคล

เทคโนโลยีของ OligioX ทำงานอย่างไร ?

เทคโนโลยีของ OligioX ทำงานอย่างไร ?

พอได้ยินคำว่า เทคโนโลยี หลายคนอาจคิดว่ามันซับซ้อนยากเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วการทำงานของ OligioX ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดเลย วันนี้เราจะมาอธิบายกันแบบง่ายๆ ให้เข้าใจได้ทุกคน ว่าเครื่องนี้มันทำงานยังไง ทำไมถึงยกกระชับผิวได้จริง และปลอดภัยขนาดไหน

Monopolar RF คืออะไร ? อธิบายแบบเข้าใจง่าย

Monopolar Radiofrequency (RF) คือเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุแบบขั้วเดียวในการส่งพลังงานเข้าสู่ผิวหนัง โดยมีหลักการทำงานดังนี้

โครงสร้างของระบบ Monopolar RF

  • ขั้วบวก (Active Electrode) – อยู่ที่หัวยิงที่สัมผัสกับผิวหน้า
  • ขั้วลบ (Ground Pad) – แผ่นแปะที่ติดอยู่บริเวณหลังส่วนล่าง (ต้นขา)
  • กระแสไฟฟ้าจะไหลจากขั้วบวกไปยังขั้วลบผ่านเนื้อเยื่อของร่างกาย

วิธีสร้างความร้อน เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเนื้อเยื่อ จะเกิดแรงต้านทาน (Resistance) ทำให้เกิดความร้อนขึ้นในชั้นผิวหนัง ความร้อนนี้จะอยู่ในช่วง 40-60 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน

ตามงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน PMC (PubMed Central) ปี 2022 อธิบายว่า OligioX ใช้ความถี่ 6.78 MHz ซึ่งเป็นความถี่ที่เหมาะสมที่สุดในการส่งพลังงานลึกเข้าสู่ชั้น Dermis และ SMAS โดยไม่ทำลายผิวชั้นบนสุด (Epidermis)

ข้อดีของ Monopolar RF

  • ส่งพลังงานได้ลึกกว่า RF แบบอื่นๆ
  • ความร้อนกระจายตัวสม่ำเสมอในปริมาตร (3D Volumetric Heating)
  • กระตุ้นคอลลาเจนได้ทั้งชั้น Dermis และ Hypodermis
  • ผลลัพธ์คงทนนานกว่า

ระบบควบคุมความปลอดภัย : OligioX มีระบบ Real-Time Impedance Feedback ที่วัดความต้านทานของผิวในทุกๆ ช็อต หากตรวจพบความผิดปกติ เครื่องจะหยุดส่งพลังงานทันทีเพื่อป้องกันผิวไหม้

OligioX ยิงลึกถึงชั้นไหน ? ทำไมถึงยกกระชับได้จริง

OligioX ยิงลึกถึงชั้นไหน ทำไมถึงยกกระชับได้จริง

ความลึกในการส่งพลังงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ OligioX สามารถยกกระชับผิวได้จริง มาดูรายละเอียดกันครับ

ชั้นผิวหนังที่ OligioX เข้าถึง

  1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) – ความลึก 0-0.1 mm
    • OligioX ไม่ทำลายชั้นนี้ แต่มีระบบ Cooling ที่ปกป้องชั้นนี้
  2. ชั้นหนังแท้ (Dermis) – ความลึก 0.1-4 mm
    • เป็นชั้นที่มีคอลลาเจนและอีลาสตินอยู่มาก
    • OligioX ส่งความร้อนเข้าสู่ชั้นนี้เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
    • G Mode มุ่งเน้นการให้ความร้อนในชั้นบนของ Dermis
  3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Hypodermis) – ความลึก 4-7 mm
    • ชั้นที่มีเนื้อเยื่อไขมันและ Fibrous Septae
    • X Mode ส่งความร้อนลึกถึงชั้นนี้เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนานและชัดเจนมากขึ้น
  4. ชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) – ความลึกประมาณ 4.5 mm
    • เป็นชั้นกล้ามเนื้อที่ห่อหุ้มใบหน้า
    • การกระชับชั้นนี้จะทำให้ใบหน้ายกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

OligioX ความร้อนควบคุมได้ปลอดภัยแค่ไหน ?

เวลาได้ยินว่า ส่งความร้อนเข้าผิว หลายคนอาจกลัวว่าจะไหม้ แต่จริงๆ แล้ว OligioX มีระบบความปลอดภัยที่ออกแบบมาดีมาก ทำให้เจ็บน้อยกว่าเครื่องรุ่นเก่าเยอะ

ระบบความปลอดภัย 5 ชั้น

1. Real-Time Cooling (11 Pulses)

  • ทำความเย็น 11 ครั้งต่อช็อต (เดิมมีแค่ 5 ครั้ง)
  • พ่นจากกลางหัวยิง กระจายดีกว่า
  • ผิวชั้นนอกอยู่ในอุณหภูมิปลอดภัย

2. Temperature Monitoring

  • วัดอุณหภูมิตลอดเวลา
  • หยุดอัตโนมัติถ้าร้อนเกิน

3. Pressure Sensing (4 จุด)

  • ตรวจแรงกดที่หัวยิง
  • ไม่ยิงถ้าแรงกดไม่สม่ำเสมอ
  • ป้องกันจุดร้อนที่อาจทำให้ผิวไหม้

4. Impedance Feedback

  • วัดความต้านทานผิว
  • ปรับพลังงานให้เหมาะกับผิวแต่ละคน
  • หยุดทำงานถ้าเจอความผิดปกติ

5. Vibration System

  • สั่นไปด้วยตอนยิง
  • ช่วยลดความเจ็บปวด

OligioX กับ Oligio ต่างกันยังไง ? เลือกอันไหนดี ?

OligioX กับ Oligio ต่างกันยังไง ? เลือกอันไหนดี ?

หลายคนอาจสับสนระหว่าง Oligio (รุ่นเดิม) กับ OligioX (รุ่นใหม่ล่าสุด) ทั้งสองเครื่องมาจากบริษัทเดียวกันและใช้เทคโนโลยี Monopolar RF แต่มีความแตกต่างที่สำคัญ มาดูรายละเอียดกันครับ

เปรียบเทียบ OligioX vs Oligio

เปรียบเทียบ OligioX vs Oligio

Oligio กับ OligioX ต่างกันยังไง ? มาดูเลย

คุณสมบัติ

  • เหมือนกัน : Monopolar RF 6.78 MHz ทั้งคู่

การปล่อยพลังงาน

  • Oligio : ปล่อยได้ปานกลางถึงสูง
  • OligioX : ปล่อยได้สูงสุด 400W

โหมดการยิง

  • Oligio : Single Mode ปรับยิงได้แต่โหมดเดียว
  • OligioX : Dual Mode (G + X) ยิงสลับตื้นลึก ครอบคลุมทุกชั้นผิว

ระบบทำความเย็น

  • Oligio : 5 Pulses ลดความแสบร้อนระหว่างทำ
  • OligioX : 11 Pulses ลดความแสบร้อนได้ดีกว่ามาก

ความรู้สึกเจ็บปวด

  • Oligio : รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย อาจบวมแดงหลังทำ
  • OligioX : มี Vibration ช่วยลดเจ็บ สบายกว่ามาก

ผลลัพธ์

  • Oligio : ยกกระชับได้ มีผลพริกระชับ
  • OligioX : ยกกระชับในชั้นที่ลึกขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นผิว ผลชัดเจนขึ้น

ข้อสรุป :

  • Oligio → เหมาะกับคนงบจำกัด ปัญหาน้อย
  • OligioX → เหมาะกับคนต้องการผลชัด ยาวนาน เจ็บน้อย

OligioX รุ่นใหม่ดีขึ้นตรงไหนบ้าง ?

จุดเด่นหลักๆ ที่ทำให้ OligioX โดดเด่นกว่า Oligio รุ่นเดิม

1. Dual Mode Technology

  • G Mode (Gliding Mode) – โหมดลื่นที่ให้ความร้อนชั้นบนของ Dermis ช่วยเสริมความร้อนจาก X Mode และทำให้ความร้อนกระจายตัวสม่ำเสมอ
  • X Mode (Extra Deep Mode) – โหมดลึกที่ให้ความร้อนถึงชั้น Hypodermis และ SMAS ทำให้ยกกระชับได้ชัดเจนกว่า

ด้วย Dual Mode นี้ แพทย์สามารถปรับแต่งการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคลได้ดียิ่งขึ้น

2. ระบบ Cooling ที่ดีขึ้น (11 Pulses)

  • เพิ่มจาก 5 Pulses เป็น 11 Pulses (เพิ่มขึ้น 120%)
  • พ่นความเย็นจากตรงกลางแทนที่จะพ่นจากขอบ ทำให้ความเย็นกระจายตัวดีกว่า
  • ป้องกันไม่ให้เกิดน้ำแข็งที่หัวยิง

3. พลังงานสูงสุด 400W

  • สามารถส่งพลังงานได้มากกว่าและแรงกว่า Oligio รุ่นเดิม
  • แต่ยังคงควบคุมความปลอดภัยได้ดีด้วยระบบต่างๆ

4. ระบบ Impedance Feedback แบบเรียลไทม์

  • วัดความต้านทานของผิวในทุกๆ ช็อต
  • ปรับพลังงานให้เหมาะสมอัตโนมัติ
  • เพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

5. ระบบ Vibration

  • ช่วยลดความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ทำงานพร้อมกับการส่งพลังงาน RF
  • ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น

ใครเหมาะกับการทำ OligioX บ้าง ?

ถ้าคุณกำลังสนใจทำ OligioX คงอยากรู้ว่าตัวเองเหมาะไหม? จริงๆ แล้ว OligioX เหมาะกับหลายคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย แต่ก็มีบางกลุ่มที่ควรระวังหรือไม่ควรทำ ในบทความนี้เราจะพาไปดูว่า คนที่มีปัญหาผิวแบบไหนควรทำ OligioX รวมถึง OligioX แก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง และ ใครไม่ควรทำ OligioX มาดูกันเลยว่าคุณเข้าข่ายไหม

คนที่มีปัญหาผิวแบบไหนควรทำ OligioX

1. ผู้ที่มีผิวชั้นโขมง ชั้นใบหน้าหนา

  • ผิวเริ่มหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
  • แก้มตก (Jowls) มีชั้นเนื้อห้อยลงมา
  • คางคู่ ผิวคอไม่กระชับ
  • รูปหน้าไม่ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน

2. ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปหน้า

  • ต้องการ V-Shape หน้าเรียว
  • ต้องการยก Jawline ให้คมชัด
  • ต้องการปรับสัดส่วนใบหน้า

3. ผู้ที่ต้องการยกกระชับ โดยไม่ผ่าตัด

  • ไม่อยากเสี่ยงกับการผ่าตัด
  • ไม่มีเวลาพักงานนาน
  • ต้องการวิธีที่ปลอดภัย

ช่วงอายุที่เหมาะสม

  • 30-50 ปี – เหมาะสมที่สุด
  • 25-30 ปี – ทำได้ถ้ามีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเร็ว
  • 50+ ปี – ทำได้ แต่อาจต้องใช้ Shot มากกว่า
 

OligioX แก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง ?

OligioX ช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลายอย่าง :

ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

  • ยกกระชับผิวหน้าทั้งหมด
  • แก้แก้มตก (Jowls)
  • ยกคาง กระชับผิวคอ

ปัญหารอยย่น รอยเหี่ยว

  • ลดริ้วรอยหน้าผาก
  • ลดรอยย่นรอบดวงตา (Crow’s feet)
  • ลดร่องแก้ม (Nasolabial Fold)
  • ลดรอยหุบปาก (Marionette Lines)

ปัญหารูปหน้าไม่กระชับ

  • เพิ่มความคมชัดให้รูปหน้า
  • สร้าง V-Shape
  • ยก Jawline ให้ชัดขึ้น

ปัญหารูขุมขนและผิวหมองคล้ำ

  • ลดขนาดรูขุมขน
  • เพิ่มความกระจ่างใส
  • ลดความมันบนใบหน้า

บริเวณที่ทำได้ :

  • ใบหน้าทั้งหมด (Full Face)
  • รอบดวงตา เปลือกตา
  • คอ แขน หัวเข่า
  • ต้นขาด้านใน ก้น

ใครไม่ควรทำ OligioX ? มีข้อห้ามไหม ?

ถึงแม้ว่า OligioX จะปลอดภัยมาก แต่ก็มีบางคนที่ไม่ควรทำนะ มาดูกันว่าคุณเข้าข่ายไหม

กลุ่มที่ห้ามทำเลย (อันนี้ห้ามจริงๆ)

  • ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) – เพราะคลื่น RF อาจไปรบกวนเครื่องได้
  • มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในตัว – เช่นพวก Implanted Defibrillator
  • กำลังท้องหรือให้นมลูก – ยังไม่มีการศึกษาว่าปลอดภัยหรือเปล่า
  • มีแผลหรือติดเชื้อบริเวณที่จะทำ – ต้องรอให้หายก่อน

กลุ่มที่ควรปรึกษาหมอก่อน

  • เป็นโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น Lupus หรือ Scleroderma
  • กินยาต้านการอักเสบเรื้อรัง – อาจทำให้การสร้างคอลลาเจนช้าลง
  • เคยมีแผลเป็นเกิน (Keloid) – มีโอกาสเกิดแผลเป็นผิดปกติได้
  • เคยเป็นงูสวัดหรือเริมที่หน้า – ควรกินยาต้านไวรัสก่อนทำ
  • เพิ่งทำ Botox หรือ Filler – รอสัก 2-4 สัปดาห์ก่อนดีกว่า
  • เพิ่งผ่าตัดหน้า – ควรรอ 3-6 เดือน
  • ผิวบางมาก – อาจต้องปรับระดับพลังงาน

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนทำ

  • อย่าออกแดดจัดสัก 2 สัปดาห์ก่อนทำ
  • หยุดใช้ Retinoid หรือ AHA/BHA สัก 1 สัปดาห์ก่อน
  • พยายามหลีกเลี่ยงยาที่ทำให้เลือดออกง่าย (ถ้าทำได้)

ข้อดีของ OligioX ที่ต้องบอกต่อ

OligioX มีข้อดีมากมายที่ทำให้เป็นที่นิยมในคลินิกความงามทั่วโลก มาดูรายละเอียดกันครับ

ยกกระชับได้ลึกถึงชั้น SMAS จริงๆ

หนึ่งในจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ OligioX คือความสามารถในการส่งพลังงานลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ผิวหนังและเป็นตัวกำหนดรูปหน้า

ทำไม SMAS ถึงสำคัญ :

  • เป็นชั้นที่ศัลยแพทย์เข้าไปยกเมื่อทำ Facelift Surgery
  • การกระชับชั้นนี้จะทำให้ใบหน้ายกขึ้นอย่างชัดเจนและยาวนาน
  • เป็นชั้นที่ลึกกว่าเทคโนโลยีส่วนใหญ่จะเข้าถึงได้

วิธีที่ OligioX เข้าถึง SMAS :

  • ใช้ X Mode ที่ส่งความร้อนลึกถึงชั้น Hypodermis (ระดับความลึก 4-7 mm)
  • ความร้อนจะกระตุ้นการหดตัวของเส้นใยคอลลาเจนในชั้น SMAS
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว (Neocollagenesis)

ตามการศึกษาทางคลินิกที่ตีพิมพ์ใน PMC (PubMed Central) พบว่า :

  • การตรวจด้วย Histological Analysis พบการเพิ่มขึ้นของคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 อย่างมีนัยสำคัญ
  • มีการจัดเรียงตัวใหม่ของเส้นใยอีลาสติน (Elastic Fiber Reorganization)
  • Solar Elastosis (การเสื่อมของเส้นใยอีลาสตินจากแสงแดด) ลดลง

ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักงาน

ข้อดีสำคัญของ OligioX

  1. ไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive)
    • ไม่มีการกรีดผิวหนัง
    • ไม่มีแผลเปิด
    • ไม่มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
    • ไม่มีแผลเป็น
  2. ไม่ต้องพักงาน (No Downtime)
    • สามารถกลับไปทำงานได้ทันที
    • ไม่ต้องหยุดกิจกรรมประจำวัน
    • สามารถแต่งหน้าได้ในวันเดียวกัน
  3. ความเจ็บปวดน้อยมาก
    • ไม่ต้องใช้ยาระงับความรู้สึก (ถ้าไม่ต้องการ)
    • ระบบ Vibration และ Cooling ช่วยลดความเจ็บปวด
    • Pain Score เฉลี่ยเพียง 0.4/10 ตามการศึกษา
  4. ใช้เวลารักษาสั้น
    • ใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีต่อครั้ง
    • สามารถทำในช่วงพักเที่ยงได้ (Lunch-Time Procedure)

ผลอยู่นาน 1-2 ปีเลยทีเดียว

ความคงทนของผลลัพธ์เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่สำคัญของ OligioX

ระยะเวลาที่ผลอยู่

  • ผลลัพธ์ทันที – เห็นได้ทันทีหลังการรักษา (Immediate Tightening)
  • 1-3 เดือนหลังทำ – ผลยังคงดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการสร้างคอลลาเจนใหม่
  • 3-6 เดือน – ผลลัพธ์อยู่ในช่วงที่ดีที่สุด (Peak Result)
  • 6-12 เดือน – ผลยังคงดีอยู่และค่อยๆ ลดลง
  • 12-24 เดือน – บางคนยังคงเห็นผลอยู่ถึง 2 ปี

ปลอดภัย ได้มาตรฐาน FDA

ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกรับบริการยกกระชับผิวหน้า OligioX ผ่านการรับรองจากองค์กรระดับสากลหลายแห่ง

การรับรองมาตรฐาน

  1. FDA (U.S. Food and Drug Administration)
    • องค์กรอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา
    • มาตรฐานที่เข้มงวดที่สุดในโลก
    • OligioX ได้รับการรับรองให้ใช้ในการยกกระชับผิวหน้าและลดริ้วรอย
  2. KFDA (Korea Food and Drug Administration)
    • องค์กรอาหารและยาของเกาหลีใต้
    • มาตรฐานสูงสำหรับเครื่องมือทางการแพทย์
  3. CE Mark (European Conformity)
    • การรับรองจากสหภาพยุโรป
    • ยืนยันความปลอดภัยและคุณภาพตามมาตรฐานยุโรป

ทำ OligioX เจ็บไหม ? บอกตามตรง

ทำ OligioX เจ็บไหม ? บอกตามตรง

นี่คือคำถามที่ทุกคนอยากรู้ ! ตอบเลยว่า OligioX เจ็บน้อยมากจนแทบไม่เจ็บเลย

ความเจ็บระดับไหน?

จากการศึกษาพบว่า Pain Score เฉลี่ย 0.4 จาก 10 (แทบไม่เจ็บเลย)

คนส่วนใหญ่รู้สึกยังไง

  • 70% รู้สึกแค่อุ่นๆ และสั่นเบาๆ
  • 25% แสบร้อนนิดหน่อย แต่ทนได้
  • 5% เจ็บปานกลางบริเวณผิวบาง

ทำไมถึงไม่เจ็บ ?

  • Cooling 11 Pulses – ทำความเย็นตลอดเวลา
  • Vibration System – สั่นช่วยลดความเจ็บ
  • Temperature Control – วัดอุณหภูมิตลอด หยุดอัตโนมัติถ้าร้อนเกิน

เปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่น

  • OligioX : 0.4/10
  • Oligio เก่า : 1-2/10
  • HIFU : 5-7/10
  • Thermage : 3-5/10

ถ้ายังกลัวเจ็บ

  • ทาครีมชาก่อนทำ 30-45 นาที
  • ขอให้แพทย์ปรับระดับพลังงาน

หลังทำเจ็บไหม? ไม่เจ็บ แค่แดงบวมเล็กน้อย หายเอง 1-2 ชั่วโมง

OligioX ควรยิงกี่ช็อตถึงจะสวย ?

จำนวน Shot ที่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย มาดูคำตอบกันครับ

จำนวน Shot ที่แนะนำจะแตกต่างกันไปตามบริเวณที่รักษาและความรุนแรงของปัญหา :

บริเวณใบหน้า :

  • รอบดวงตา (Periorbital) – 100-150 Shots
  • แก้ม (Cheeks) – 300-450 Shots
  • เหนียง (Jowls) – 150-300 Shots
  • คอ (Neck) – 100-200 Shots

โปรแกรมยอดนิยม :

  • Face Lifting (Full Face) – 600-800 Shots
  • Lower Face + Neck – 500-700 Shots
  • Full Face + Neck – 800-1,000 Shots

ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Dermatology and Therapy ปี 2022 :

  • จำนวน Shot เฉลี่ยที่ใช้ในการรักษา : 412 ± 49 Shots
  • Energy Level ที่ใช้ : 2-4 (จากระดับ 0.5-8)
  • จำนวน Pass : 3-4 Passes ด้วย Overlap 15-30%

หมายเหตุสำคัญ :

  • จำนวน Shot ไม่ได้หมายความว่ายิ่งมากยิ่งดี
  • ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับ Energy Level และเทคนิคการยิง
  • แพทย์ที่มีประสบการณ์จะปรับจำนวน Shot ตามสภาพผิวแต่ละคน

Shot แบบไลน์กรัม vs Shot กระจาย ต่างกันอย่างไร ?

มีสองเทคนิคหลักในการยิง OligioX :

1. Shot แบบไลน์กรัม (Grid Pattern)

  • ยิงเป็นเส้นแบบมีระเบียบ เหมือนตาราง
  • ระยะห่างระหว่าง Shot เท่าๆ กัน (โดยปกติ 1-1.5 cm)
  • มี Overlap ประมาณ 15-30%
  • เหมาะกับการทำ Full Face

ข้อดี :

  • ครอบคลุมพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ
  • ไม่มีจุดที่ถูกพลาดหรือถูกซ้อนทับมากเกินไป
  • แพทย์ควบคุมการรักษาได้ง่าย

ข้อเสีย :

  • ใช้เวลานานกว่า
  • อาจไม่เหมาะกับการรักษาเฉพาะจุด

2. Shot กระจาย (Spot Treatment)

  • ยิงเฉพาะจุดที่มีปัญหา
  • ไม่ได้ยิงเป็นตาราง แต่เน้นบริเวณที่ต้องการ
  • เหมาะกับการแก้ปัญหาเฉพาะจุด (เช่น Jowls, Nasolabial Folds)

ข้อดี :

  • ประหยัดเวลา
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย (ใช้ Shot น้อยกว่า)
  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเฉพาะจุด

ข้อเสีย :

  • อาจดูไม่สม่ำเสมอหากไม่มีความชำนาญ
  • ต้องอาศัยประสบการณ์ของแพทย์มาก

เทคนิค Dual Mode : แพทย์ที่มีประสบการณ์มักใช้ทั้งสอง Mode :

  • X Mode – ยิงเป็นไลน์กรัมครอบคลุมทั้งหน้า
  • G Mode – ยิงแบบกระจายเสริมในบริเวณที่ต้องการเน้น

อะไรเป็นตัวกำหนดจำนวน Shot ที่ต้องใช้ ?

หลายปัจจัยที่มีผลต่อจำนวน Shot ที่เหมาะสม :

1. ความรุนแรงของปัญหา

  • ผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย → Shot น้อยกว่า
  • ผิวหย่อนคล้อยมาก → Shot มากกว่า

2. อายุ

  • อายุน้อย (30-40 ปี) → Shot น้อยกว่า (600-800 Shots)
  • อายุมากกว่า (40-55 ปี) → Shot มากกว่า (800-1,000 Shots)

3. พื้นที่การรักษา

  • Face Only → 600-800 Shots
  • Face + Neck → 800-1,000 Shots
  • Specific Area (เช่น Jowls) → 200-300 Shots

4. Energy Level ที่ใช้

  • Energy สูง → Shot น้อยกว่า
  • Energy ต่ำ → Shot มากกว่า

5. ความหนาของผิว

  • ผิวบาง → Shot น้อยกว่า Energy ต่ำกว่า
  • ผิวหนา → Shot มากกว่า Energy สูงกว่า

6. เป้าหมายของการรักษา

  • Maintenance (ดูแลรักษา) → Shot น้อยกว่า
  • Treatment (แก้ปัญหา) → Shot มากกว่า

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : อย่าเน้นแค่จำนวน Shot แต่เพียงอย่างเดียว ควรพิจารณา :

  • คุณภาพของเทคนิคการยิง – แพทย์ที่มีประสบการณ์สามารถใช้ Shot น้อยกว่าแต่ได้ผลดีกว่า
  • Energy Level ที่เหมาะสม – Energy สูงแต่ Shot น้อยอาจดีกว่า Energy ต่ำแต่ Shot มาก
  • การปรับแต่งตามสภาพผิว – แพทย์ที่ดีจะปรับการรักษาให้เหมาะกับแต่ละคน

วีธีดูแลหลังทำ OligioX ให้ผลลัพธ์อยู่นาน

วีธีดูแลหลังทำ OligioX ให้ผลลัพธ์อยู่นาน

ทำอะไรได้บ้างหลังยิง OligioX ?

ทันทีหลังทำ (0-24 ชั่วโมง) :

  • ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นได้ (หลังทำ 6-12 ชั่วโมง)
  • ทาครีมบำรุงผิวอ่อนโยน
  • ทาครีมกันแดด SPF 50 PA+++
  • กลับไปทำงานได้ทันที
  • แต่งหน้าได้ (แต่ควรใช้เครื่องสำอางอ่อนโยน)

1-3 วันหลังทำ :

  • ล้างหน้าตามปกติ (ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น)
  • ทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid หรือ Peptides
  • ทาครีมกันแดดทุกวัน
  • ดื่มน้ำเยอะๆ (อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน)

1 สัปดาห์ – 1 เดือนหลังทำ :

  • ดูแลผิวตามปกติ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่กระตุ้นคอลลาเจน (เช่น Retinol, Vitamin C)
  • นอนหลับให้เพียงพอ (7-8 ชั่วโมง)
  • ออกกำลังกายได้ตามปกติ

1-3 เดือนหลังทำ (ช่วงที่คอลลาเจนกำลังสร้าง) :

  • ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง (ช่วยสร้างคอลลาเจน)
  • เสริมอาหารเสริมที่มีคอลลาเจน (ถ้าต้องการ)
  • มาตรวจติดตามผลกับแพทย์ (ตามนัด)

อะไรที่ต้องเลี่ยงหลังทำ ?

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง 1-2 สัปดาห์หลังทำ :

1. การทำกิจกรรมที่มีความร้อนสูง

  • ซาวน่า, สปา, อบไอน้ำ
  • ออกกำลังกายหนักมาก (เช่น วิ่งมาราธอน)
  • โยคะความร้อนสูง (Hot Yoga)

เหตุผล :

  • ความร้อนสูงอาจทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น
  • อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร

2. แสงแดดจัด

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดโดยตรง
  • ทาครีมกันแดดทุกวัน SPF 50 PA+++
  • สวมหมวกหรือใช้ร่มกันแดด

เหตุผล :

  • แสงแดดอาจทำให้เกิด Hyperpigmentation (ฝ้า กระ)
  • ทำลายคอลลาเจนที่กำลังสร้างใหม่

3. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรง

  • Retinol ความเข้มข้นสูง
  • AHA/BHA ความเข้มข้นสูง
  • Vitamin C ความเข้มข้นสูง (>15%)

เหตุผล :

  • อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย
  • ควรรออย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้

4. การนวดหน้าแรงๆ

  • หลีกเลี่ยงการนวดหน้าแรงๆ 1 สัปดาห์
  • ไม่ควร Facial ที่มีการนวดแรง

เหตุผล :

  • อาจทำให้คอลลาเจนที่กำลังสร้างใหม่ถูกรบกวน

5. การทำหัตถการอื่นๆ บริเวณใบหน้า

  • Laser
  • Peeling
  • Microneedling
  • Filler/Botox (ควรรอ 2-4 สัปดาห์)

เหตุผล :

  • อาจทำให้เกิดการอักเสบซ้อนกัน
  • อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร

6. การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • ดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง

เหตุผล :

  • สูบบุหรี่ทำลายคอลลาเจน
  • แอลกอฮอล์ทำให้ผิวขาดน้ำ

เคล็ดลับบำรุงผิวให้ผลลัพธ์อยู่ยาวขึ้น

1. ดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

  • Cleanser – เลือกใช้โฟมล้างหน้าอ่อนโยน
  • Toner – ใช้โทนเนอร์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้น
  • Serum – ใช้เซรั่มที่มี Hyaluronic Acid, Peptides, หรือ Vitamin C
  • Moisturizer – ใช้ครีมบำรุงที่เหมาะกับสภาพผิว
  • Sunscreen – ทาครีมกันแดด SPF 50 PA+++ ทุกวัน

2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

  • โปรตีน – ไก่ ปลา ไข่ (ช่วยสร้างคอลลาเจน)
  • วิตามิน C – ส้ม มะเขือเทศ (ช่วยสร้างคอลลาเจน)
  • โอเมก้า 3 – ปลาแซลมอน ถั่ว (ช่วยบำรุงผิว)
  • น้ำ – ดื่มอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน

3. นอนหลับให้เพียงพอ

  • นอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
  • นอนก่อน 23:00 น. (Growth Hormone ถูกผลิตมากที่สุดในช่วง 23:00-02:00 น.)

4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  • ออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด
  • ช่วยให้ผิวสดใสและแข็งแรง

5. จัดการความเครียด

  • ความเครียดทำให้ผิวเสื่อมเร็วขึ้น
  • ฝึกสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมที่ผ่อนคลาย

6. ตรวจติดตามผลกับแพทย์

  • มาตรวจติดตามผล 1, 3, และ 6 เดือนหลังทำ
  • แพทย์จะประเมินผลและให้คำแนะนำเพิ่มเติม

7. พิจารณาทำซ้ำเมื่อจำเป็น

  • ผลของ OligioX อยู่ได้ 12-24 เดือน
  • สามารถทำซ้ำได้เมื่อผลเริ่มจางลง
  • แพทย์แนะนำให้ทำซ้ำทุก 12-18 เดือนเพื่อรักษาผล

ทำ OligioX คลินิกไหนดี ?

ทำ OligioX คลินิกไหนดี ?

ถ้ากำลังมองหาคลินิกที่น่าเชื่อถือสำหรับทำ OligioX เราขอแนะนำ วันวานคลินิกความงามบุรีรัมย์ (Onewan Clinic) ที่มี Dr. Fronk ให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิด

ทำไมต้องวันวานคลินิก?

มีเครื่อง OligioX แท้ 100%

  • นำเข้าตรงจากบริษัท WonTech
  • มี Certificate จาก FDA และ KFDA
  • ใช้หัวยิง (Tip) ใหม่ทุกครั้ง

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ – Dr. Fronk

  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม
  • ได้รับการอบรมการใช้เครื่อง OligioX โดยตรง
  • มีประสบการณ์สูง เข้าใจปัญหาผิวคนไทย

คลินิกมีมาตรฐาน

  • รับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
  • สะอาด ปลอดภัย ฆ่าเชื้อครบ
  • บรรยากาศสบาย เป็นส่วนตัว

บริการครบวงจร

  • ให้คำปรึกษาฟรีก่อนทำ
  • ตรวจสอบผิวอย่างละเอียด
  • วางแผนการรักษาเหมาะกับแต่ละคน
  • มีการดูแลติดตามหลังทำ

ราคาชัดเจน ไม่มีค่าแอบแฝง

  • บอกราคาตรงๆ ตั้งแต่ต้น
  • ไม่บังคับซื้อ Package
  • มีใบเสร็จรับเงินชัดเจน

ติดต่อวันวานคลินิก

  • สอบถามข้อมูลและนัดหมาย
  • รับคำปรึกษาฟรี
  • ดูรีวิวจากลูกค้าจริง

ดูยังไงว่าคลินิกไหนน่าเชื่อถือ ?

ดูยังไงว่าคลินิกไหนน่าเชื่อถือ ?

1. มีชื่อคลินิกแสดงให้เห็นชัดเจน

คลินิกที่ดีต้องมีป้ายชื่อชัดเจน ไม่ปิดบัง มีเลขที่จดทะเบียนและใบอนุญาตประกอบกิจการ เช่น วันวานคลินิก (Onewan Clinic) ที่มีป้ายหน้าคลินิกชัดเจน มีชื่อแพทย์ผู้ให้บริการ (Dr. Fronk) แสดงให้เห็น

สิ่งที่ควรเช็ค :

  • มีป้ายชื่อคลินิกชัดเจน
  • มีเลขที่จดทะเบียนจากสาธารณสุข
  • มีชื่อแพทย์ผู้ให้บริการ

2. บรรยากาศคลินิกสะอาด สะดวก ปลอดภัย

คลินิกที่น่าเชื่อถือต้องดูแลเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

สิ่งที่ควรสังเกต :

  • หน้าคลินิกและภายในสะอาด เป็นระเบียบ
  • มีที่จอดรถสะดวก
  • บรรยากาศเป็นกันเอง ไม่อึดอัด
  • มีการฆ่าเชื้ออุปกรณ์อย่างถูกวิธี
  • ห้องรักษาเป็นสัดส่วน มีความเป็นส่วนตัว

3. มีใบอนุญาตขนาดอักษร 11 หลัก

นี่คือข้อสำคัญที่สุด! คลินิกที่ถูกกฎหมายต้องมีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการ 11 หลัก จากกระทรวงสาธารณสุข แสดงไว้ให้เห็นชัดเจนหน้าคลินิก

วิธีเช็ค :

  • ดูป้ายใบอนุญาตหน้าคลินิก
  • เลขต้องครบ 11 หลัก
  • มีชื่อเจ้าของกิจการและแพทย์ผู้รับผิดชอบ
  • สามารถตรวจสอบกับกระทรวงสาธารณสุขได้

ตัวอย่าง : วันวานคลินิกแสดงใบอนุญาตครบถ้วนตามกฎหมาย มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ

เช็คความน่าไว้วางใจของคลินิกอย่างไร ?

มี OligioX แท้พร้อมใบรับรอง

  • ขอดูใบรับรองจากผู้ผลิต
  • ตรวจสอบหมายเลขเครื่อง

แพทย์มีคุณสมบัติและประสบการณ์

  • ขอดูใบประกอบวิชาชีพ
  • ถามเกี่ยวกับประสบการณ์การทำ OligioX

สถานที่สะอาดและปลอดภัย

  • ดูสภาพโดยรวมของคลินิก
  • สังเกตความสะอาดและระเบียบ

มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

  • อ่านรีวิวจากหลายแหล่ง
  • ดูภาพก่อน-หลังจริง

ราคาสมเหตุสมผล

  • เปรียบเทียบราคากับคลินิกอื่น
  • ระวังราคาถูกผิดปกติ

ให้คำปรึกษาอย่างละเอียด

  • แพทย์ประเมินสภาพผิวอย่างถี่ถ้วน
  • ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตอบคำถามได้ดี

มีบริการหลังการขาย

  • มีการนัดติดตามผล
  • สามารถติดต่อหากมีปัญหา

ไม่มีการบีบบังคับ

  • ไม่บังคับให้ตัดสินใจทันที
  • ให้เวลาคิดและพิจารณา

OligioX ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน ?

OligioX ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน ?

คำถามที่หลายคนสงสัย ! จริงๆ แล้ว OligioX เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลย

ผลตามช่วงเวลา :

ทันทีหลังทำ (Day 0)

  • ผิวกระชับขึ้นเห็นได้ชัด
  • รูปหน้าดูชัดเจนขึ้น
  • คอลลาเจนเก่าหดตัว (Immediate Tightening)

1-3 เดือนหลังทำ

  • ผลดีขึ้นเรื่อยๆ
  • คอลลาเจนใหม่กำลังสร้างขึ้น
  • ผิวเต่งตึง กระชับมากขึ้น

3-6 เดือน

  • ผลชัดเจนที่สุด (Peak Result)
  • คอลลาเจนใหม่สร้างเสร็จสมบูรณ์
  • ผลอยู่ได้ 12-24 เดือน

ควรทำกี่ครั้ง?

ปัญหาน้อย-ปานกลาง : 1 ครั้งก็พอ ปัญหามาก : 2-3 ครั้ง (ห่างกัน 3-6 เดือน) Maintenance : ทำซ้ำปีละ 1 ครั้ง

จากการศึกษาใน Dermatology and Therapy (2022) พบว่า 100% เห็นผลหลังทำครั้งแรก และ 82% พอใจกับผลลัพธ์

สรุป : ทำครั้งเดียวก็เห็นผลแล้ว แต่ผลจะดีขึ้นเรื่อยๆ ใน 3-6 เดือน!

OligioX มีผลข้างเคียงไหม ? ต้องระวังอะไรบ้าง ?

OligioX มีผลข้างเคียงไหม ?

OligioX ปลอดภัยมาก ผลข้างเคียงน้อยมาก

ผลข้างเคียงที่พบ (ปกติและหายเอง) :

หลังทำทันที :

  • ผิวแดง บวมเล็กน้อย → หาย 1-2 ชั่วโมง
  • รู้สึกร้อนๆ หน้าตึง → หาย 2-4 ชั่วโมง
  • อาจมีรอยแดงเล็กๆ → หาย 1-2 วัน

ผลข้างเคียงร้ายแรง : จากการศึกษาใน MDPI Photonics (2024) พบว่า ไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรงเลย

  • ไม่มีผิวไหม้
  • ไม่มีแผลเป็น
  • ไม่มีความเสียหายถาวร

สิ่งที่ต้องระวัง :

2 สัปดาห์หลังทำ :

  • หลีกเลี่ยงแดดจัด ทาครีมกันแดด SPF 50
  • ไม่ซาวน่า อบไอน้ำ
  • ไม่ออกกำลังกายหนัก
  • ไม่นวดหน้าแรงๆ

1 สัปดาห์หลังทำ :

  • หยุดใช้ Retinol, AHA/BHA ชั่วคราว
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอ่อนโยน

ดื่มน้ำเยอะๆ

  • อย่างน้อย 2 ลิตร/วัน
  • ช่วยให้คอลลาเจนสร้างได้ดี

ถ้าเกิดอาการผิดปกติ :

  • บวมมากผิดปกติ
  • แดงไม่หาย 3 วัน
  • เจ็บมาก → ติดต่อคลินิกทันที

OligioX ปลอดภัยมาก แค่ดูแลตามคำแนะนำ ผลข้างเคียงก็ไม่มีเลย!

Q&A รวมคำถาม OligioX คืออะไร

Q : OligioX ยกกระชับได้จริงไหม? มีหลักฐานรึเปล่า ?

A : ได้จริง! มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

  • การศึกษาใน Dermatology and Therapy (2022) พบว่า 100% เห็นผลทันทีหลังทำ
  • การศึกษาใน International Journal of Dermatology พบว่าคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ได้รับการรับรองจาก FDA (สหรัฐฯ) และ KFDA (เกาหลี)
  • ผลอยู่ได้ 12-24 เดือน

Q : OligioX ต่างจาก Oligio รุ่นเก่ายังไง? คุ้มไหมที่จะเลือกรุ่นใหม่ ?

A : OligioX ดีกว่าหลายเรื่อง

  • Dual Mode (G+X) ยิงได้ทั้งตื้นและลึก (Oligio มีแค่ Single Mode)
  • Cooling 11 Pulses แทน 5 Pulses (เจ็บน้อยกว่า 75%)
  • พลังงานสูงสุด 400W (แรงกว่า)
  • Pain Score 0.4/10 แทน 1-2/10
  • ผลอยู่ 12-24 เดือน แทน 6-12 เดือน

ถ้างบพอ เลือก OligioX คุ้มกว่า เจ็บน้อยกว่า ผลดีกว่าและนานกว่า

Q : OligioX ทำร่วมกับโปรแกรมอื่นได้ไหม ?

A: ได้ครับ! OligioX สามารถทำร่วมกับโปรแกรมอื่นได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ต้องเว้นระยะเวลาที่เหมาะสม

ทำได้

  • Botox – เว้น 2-4 สัปดาห์ (ทำ Botox ก่อน แล้วค่อยทำ OligioX)
  • Filler – เว้น 2-4 สัปดาห์ (แนะนำทำ OligioX ก่อน)
  • Ulthera/HIFU – เว้น 3-6 เดือน
  • Thermage – เว้น 3-6 เดือน
  • Laser รักษาฝ้า กระ – เว้น 2-4 สัปดาห์
  • Mesotherapy/PRP – ทำได้ เว้น 1-2 สัปดาห์

โปรแกรมที่เสริมกันดี

  • OligioX + Botox = ยกกระชับ + ลดริ้วรอย
  • OligioX + Filler = ยกกระชับ + เติมวอลุ่ม
  • OligioX + Ultraformer = ยกกระชับสองชั้น

ไม่แนะนำทำพร้อมกัน

  • RF อื่นๆ (ซ้ำซ้อน)
  • ผ่าตัดยกหน้า (รอ 6 เดือน)

ข้อแนะนำ : ควรปรึกษาแพทย์ให้วางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของคุณ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Q : ทำ OligioX ต้องทำกี่ครั้ง? ผลอยู่นานแค่ไหน ?

A :

  • ปัญหาน้อย-ปานกลาง: ทำ 1 ครั้งพอ
  • ปัญหามาก: 2-3 ครั้ง (ห่างกัน 3-6 เดือน)
  • เห็นผลทันที หลังทำ แต่ผลจะดีขึ้นเรื่อยๆ ใน 3-6 เดือน
  • ผลอยู่ได้ 12-24 เดือน
  • ทำ Maintenance ปีละ 1 ครั้ง ผลจะอยู่นานขึ้น

Q : OligioX เจ็บไหม? เจ็บมากกว่า HIFU ไหม ?

A : เจ็บน้อยมาก! Pain Score เฉลี่ย 0.4/10 ซึ่งเจ็บน้อยกว่า HIFU (5-7/10) เยอะมาก เพราะมีระบบ

  • Cooling 11 Pulses (เย็นตลอดเวลา)
  • Vibration System (ลดความเจ็บ)
  • Temperature Control (วัดอุณหภูมิตลอด)

ส่วนใหญ่บอกว่ารู้สึกแค่อุ่นๆ และสั่นเบาๆ ไม่น่ากลัวเลย

สรุปเรื่อง OligioX คืออะไร ?

OligioX คือ เทคโนโลยียกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า ยกกระชับกรอบหน้า และสามารถช่วยปรับสัดส่วนได้ รวมถึงรักษาคอ แขน ขา ให้ผลดูจากสันนิษฐานได้โดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลเร็ว

ทั้งนี้แนะนำทำ OligioX ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ศึกษาวิธีดูเครื่องแท้ เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อความปลอดภัยดีที่สุด

เอกสารอ้างอิง

Scroll to Top