
Home » BOTOX
BOTOX
การรักษาที่นิยมในคลินิกความงามทั่วโลก BOTOX หรือที่รู้จักในชื่อ โบทูลินั่ม ท็อกซินใช้ในการลดริ้วรอยและปรับปรุงลักษณะทางการแพทย์อื่นๆ โบท็อกซ์ทำงานโดยชะลอกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดริ้วรอย, ลดการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น มีประโยชน์อื่นๆ เช่น การรักษาเหงื่อออกมากผิดปกติ, การควบคุมอาการสะอึก, และบางกรณีของไมเกรน
การรักษาด้วยโบท็อกซ์มักจะรวดเร็วและไม่ต้องพักฟื้น เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดและเจ็บน้อย ผลลัพธ์จะปรากฏหลังจากไม่กี่วันและสามารถอยู่ได้หลายเดือน อย่างไรก็ตาม, ผู้รับการรักษาควรระวังเรื่องผลข้างเคียงและควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาเพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัย ปรึกษาฟรีได้ที่ วันวาน คลินิก Onewanclinic คลินิกความงาม บุรีรัมย์
โบท็อก คืออะไร
โบท็อก, หรือที่รู้จักในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Botulinum toxin, เป็นสารพิษที่ผลิตโดยแบคทีเรีย Clostridium botulinum. ในด้านการแพทย์และความงาม, โบท็อก ถูกใช้เป็นการรักษาในรูปแบบที่บริสุทธิ์และในปริมาณที่ควบคุมได้เพื่อบรรเทาริ้วรอยและปัญหาผิวพรรณอื่นๆ. มันทำงานโดยการชะลอหรือป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อในบริเวณที่ได้รับการฉีด, ช่วยลดการปรากฏของริ้วรอยและสามารถใช้เพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ของผิวหน้า
นอกจากนี้, โบท็อก ยังมีการใช้งานในการรักษาทางการแพทย์เช่น การรักษาโรคเหงื่อออกมากผิดปกติ, การควบคุมอาการสะอึก, รักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อบางประเภท, และในบางกรณีของไมเกรน
การใช้ โบท็อก ต้องดำเนินการโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เนื่องจากสารนี้ต้องใช้ในปริมาณที่ถูกต้องและต้องการความระมัดระวังในการใช้งาน การรักษาด้วย Botox ส่วนใหญ่มีผลชั่วคราวและอาจต้องทำซ้ำเป็นระยะเพื่อรักษาผลลัพธ์
โบท็อก ช่วยอะไร
โบท็อก, ซึ่งเป็นรูปแบบของโบทูลินั่ม ท็อกซิน, มีประโยชน์หลายอย่างทั้งในด้านการแพทย์และความงาม :
การลดริ้วรอย : โบท็อก มักใช้เพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้า, โดยเฉพาะที่หน้าผาก, รอบดวงตา, และระหว่างคิ้ว. มันช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย, ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
การรักษาเหงื่อออกมากผิดปกติ : ใช้ โบท็อก เพื่อรักษา Hyperhidrosis, ซึ่งเป็นสภาวะที่ทำให้เหงื่อออกมากผิดปกติ, โดยเฉพาะที่มือ, แขนขา, และใต้วงแขน
การรักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ : โบท็อก ช่วยในการรักษาสภาวะที่ทำให้เกิดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ, เช่น ในกรณีของ Blepharospasm (การกระตุกของเปลือกตา)
การรักษาอาการสะอึก : ใช้ โบท็อก เพื่อช่วยลดอาการสะอึกที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น
การลดอาการไมเกรน : สำหรับผู้ที่เป็นไมเกรนเรื้อรัง, โบท็อก สามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการไมเกรนได้
การรักษาภาวะทางการแพทย์อื่นๆ : ใช้ โบท็อก ในการรักษาสภาวะทางการแพทย์เฉพาะทางอื่นๆ เช่น สภาวะกล้ามเนื้อตึงเกร็งในผู้ป่วยโรคระบบประสาท, รักษาบางสภาวะของอาการปัสสาวะผิดปกติ, และการรักษาสภาวะทางการแพทย์ของเด็กๆ
การใช้ โบท็อก ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เนื่องจากมีผลข้างเคียงและข้อจำกัดในการใช้งาน

โบท็อกซ์ ฉีดตรงไหนได้บ้าง
การฉีดโบท็อกซ์ สามารถทำได้ในหลายบริเวณของร่างกาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการรักษา :
บนใบหน้า : โบท็อกซ์มักใช้ในการลดริ้วรอยบนใบหน้า, เช่น รอบดวงตา (crow’s feet), ระหว่างคิ้ว (frown lines), บนหน้าผาก (forehead lines), รอบปาก และบริเวณคาง
ใต้วงแขน: ใช้ในการรักษาเหงื่อออกมากผิดปกติ (hyperhidrosis) โดยการฉีดใต้วงแขนเพื่อลดการผลิตเหงื่อ
บริเวณแขนและมือ : สำหรับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากในบริเวณนี้, โบท็อกซ์สามารถช่วยลดอาการได้
บริเวณหน้าผากและรอบดวงตา : ใช้เพื่อลดริ้วรอยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อในบริเวณเหล่านี้
บริเวณหลังคอและไหล่ : ในการรักษาบางอาการเช่น อาการปวดหลังคอหรืออาการกระตุกของกล้ามเนื้อ
บริเวณแก้มและขากรรไกร : โบท็อกซ์บางครั้งใช้เพื่อลดขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรเพื่อปรับรูปลักษณ์ของหน้า
บริเวณกระเพาะปัสสาวะ : ในการรักษาสภาวะปัสสาวะผิดปกติ, โบท็อกซ์อาจถูกฉีดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะเพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การใช้โบท็อกซ์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากต้องใช้ในปริมาณที่ถูกต้องและต้องการความระมัดระวังในการใช้งานเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
ข้อดีของการฉีดโบท็อก
การฉีดโบท็อกซ์มีข้อดีหลายประการทั้งในด้านความงามและการแพทย์ :
ลดริ้วรอยและปรับปรุงลักษณะผิว : การฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดการปรากฏของริ้วรอยบนใบหน้า, เช่น รอบดวงตา, หน้าผาก, และระหว่างคิ้ว. ผลลัพธ์คือผิวที่ดูเรียบเนียนและหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและไม่ต้องพักฟื้น : การฉีดโบท็อกซ์เป็นกระบวนการที่รวดเร็ว, ทำได้ภายในไม่กี่นาที และไม่ต้องการเวลาพักฟื้น. ผู้รับการรักษาสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันทีหลังการฉีด
ไม่ต้องผ่าตัด : เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงลักษณะผิวหน้าแต่ไม่ต้องการผ่าตัด
การรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ : เมื่อทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชี่ยวชาญ, การฉีดโบท็อกซ์ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง
ใช้ในการรักษาสภาพทางการแพทย์ : โบท็อกซ์ไม่เพียงแต่ใช้ในการปรับปรุงลักษณะผิวเท่านั้น, แต่ยังใช้ในการรักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ, การควบคุมอาการสะอึก, การลดเหงื่อออกมากผิดปกติ, และบางกรณีของไมเกรน
ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน : แม้ว่าผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์จะเป็นชั่วคราว, แต่มันสามารถอยู่ได้นานหลายเดือน, ทำให้ผู้รับการรักษาไม่ต้องทำซ้ำบ่อยครั้ง
ความมั่นใจและความพึงพอใจที่เพิ่มขึ้น : การปรับปรุงลักษณะผิวหน้าและลดริ้วรอยสามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจและความพึงพอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง
แม้จะมีข้อดีหลายประการ, แต่การฉีดโบท็อกซ์ก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ควรพิจารณา. ผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อหารือเกี่ยวกับความเหมาะสมและความปลอดภัยก่อนทำการรักษา
ข้อเสียของการฉีดโบท็อก
การฉีดโบท็อกซ์มีข้อเสียและความเสี่ยงบางประการที่ควรพิจารณา :
ผลข้างเคียง : การฉีดโบท็อกซ์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการปวด, บวม, และความรู้สึกไม่สบายที่บริเวณที่ฉีด, ปวดหัว, และอาการอ่อนเพลีย. ในกรณีที่หายาก, อาจเกิดการกระจายของสารโบทูลินั่มท็อกซินไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ : หากการฉีดไม่ถูกต้องหรือใช้โบท็อกซ์มากเกินไป, อาจทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือไม่เป็นธรรมชาติ, ลดการแสดงออกทางอารมณ์
ผลลัพธ์ที่ชั่วคราว : ผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์มีลักษณะชั่วคราวและจะเริ่มจางหายไปหลังจากเวลาหลายเดือน, ต้องการการฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์
ความเสี่ยงของการเกิดอาการชาหรือเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ : ในกรณีที่หายาก, โบท็อกซ์อาจทำให้เกิดอาการชาหรือการสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด
ต้องใช้โดยผู้เชี่ยวชาญ : การฉีดโบท็อกซ์ต้องทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์
ไม่เหมาะสำหรับทุกคน : บางคนอาจมีข้อห้ามในการใช้โบท็อกซ์, เช่น ผู้ที่มีภาวะแพ้โบทูลินั่มท็อกซิน, ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร, หรือผู้ที่มีสภาพปัญหาสุขภาพบางอย่าง
ต้องการการฉีดอย่างต่อเนื่อง : เพื่อรักษาผลลัพธ์, ต้องทำการฉีดโบท็อกซ์ซ้ำทุกๆ 3-6 เดือน, ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและความไม่สะดวก
การพิจารณาข้อดีและข้อเสียก่อนการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ และควรปรึกษาแพทย์เพื่อหารือถึงความเหมาะสมและความปลอดภัยของการฉีดโบท็อกซ์สำหรับตัวคุณเอง
โบท็อก ยี่ห้อไหนดี
การเลือกยี่ห้อ โบท็อก ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงความต้องการเฉพาะของผู้รับการรักษา, ประสบการณ์ของแพทย์, และการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA ในสหรัฐอเมริกา หรือหน่วยงานที่เทียบเท่าในประเทศอื่นๆ นี่คือบางยี่ห้อของโบทูลินั่ม ท็อกซินที่ได้รับความนิยม :
Allergan’s Botox® : นี่คือยี่ห้อที่มีชื่อเสียงที่สุดและได้รับการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีประวัติที่ยาวนานในการใช้ทั้งในด้านการแพทย์และความงาม
Dysport® : ผลิตโดย Galderma, Dysport® มักใช้เพื่อรักษาริ้วรอยและได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้งานในหลายประเทศ บางคนพบว่า Dysport® กระจายไปในบริเวณที่กว้างขึ้นเล็กน้อยหลังจากการฉีดเมื่อเทียบกับ โบท็อก®
Xeomin® : ผลิตโดย Merz Pharma, Xeomin® มีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับ โบท็อก® แต่ไม่มีโปรตีนที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจลดโอกาสในการพัฒนาการต้านทานต่อการรักษา
Jeuveau™ : ผลิตโดย Evolus, Jeuveau™ เป็นผลิตภัณฑ์โบทูลินั่ม ท็อกซินที่ค่อนข้างใหม่ในตลาดและมุ่งเน้นไปที่การใช้งานเพื่อความงามเป็นหลัก
การเลือกยี่ห้อที่เหมาะสมควรพิจารณาคำแนะนำของแพทย์ที่ดูแลคุณ และตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศของคุณหรือไม่ แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดตามความต้องการของแต่ละบุคคลและประวัติการรักษาของพวกเขา

โบท็อกซ์อยู่ได้กี่เดือน
ผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์มักจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน อย่างไรก็ตาม ระยะเวลานี้อาจแตกต่างกันไปตามบุคคล พื้นที่ที่ได้รับการฉีด และปริมาณของโบท็อกซ์ที่ใช้ นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น :
เมตาบอลิซึมของบุคคล : ผู้ที่มีเมตาบอลิซึมสูงอาจสังเกตเห็นว่าผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์จางหายเร็วกว่า
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ : บริเวณที่มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและใช้งานบ่อย เช่น บริเวณรอบดวงตา อาจทำให้โบท็อกซ์อยู่ได้น้อยกว่า
ปริมาณของโบท็อกซ์ที่ฉีด : การฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับบริเวณที่ต้องการจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
ความถี่ในการรับการรักษา : ผู้ที่ได้รับการฉีดโบท็อกซ์อย่างสม่ำเสมออาจสังเกตเห็นว่าผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นเนื่องจากการฉีดซ้ำช่วยลดกิจกรรมของกล้ามเนื้อในบริเวณนั้น
โดยทั่วไป แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหารือเกี่ยวกับความคาดหวังที่เหมาะสมและกำหนดการฉีดซ้ำที่เหมาะสมตามความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคล
โบท็อก ฉีดบ่อยแค่ไหน
ความถี่ในการฉีดโบท็อกซ์ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณของโบท็อกซ์ที่ใช้, พื้นที่ที่ได้รับการรักษา, และการตอบสนองของร่างกายของแต่ละบุคคลต่อการรักษา. โดยทั่วไป, การฉีดโบท็อกซ์มักทำซ้ำทุก 3-6 เดือน. นี่คือคำแนะนำทั่วไป :
ระยะเวลาของผลลัพธ์ : ผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์มักจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน. ผลลัพธ์เริ่มจางหายเมื่อกล้ามเนื้อเริ่มกู้คืนการทำงานเต็มที่
การประเมินผลลัพธ์ : หลังจากการฉีดครั้งแรก, แพทย์จะประเมินผลลัพธ์และอาจแนะนำการฉีดซ้ำในกรณีที่ต้องการปรับปรุงหรือรักษาผลลัพธ์
การปรับการรักษา : บางครั้ง, ผู้รับการรักษาอาจต้องการการฉีดซ้ำที่มีปริมาณน้อยลงหรือในบริเวณที่แตกต่างกันเพื่อรักษาผลลัพธ์ที่ต้องการ
คำแนะนำของแพทย์ : แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับความถี่ในการฉีดที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละบุคคล
สำคัญที่จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และไม่ฉีดโบท็อกซ์บ่อยเกินไป เนื่องจากการฉีดที่บ่อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงและอาจทำให้ร่างกายสร้างความต้านทานต่อโบท็อกซ์ได้
ฉีดโบท็อกกี่วันเห็นผล
การฉีดโบท็อกซ์ โดยปกติแล้วจะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วันหลังการฉีด อย่างไรก็ตามผลลัพธ์สูงสุดมักจะปรากฏชัดเจนในช่วง 10-14 วันหลังการฉีด ความเข้มข้นของผลลัพธ์และระยะเวลาที่มันอยู่นั้นอาจแตกต่างกันไปตามบุคคล การใช้โบท็อกซ์สามารถช่วยลดริ้วรอยและปรับปรุงลักษณะของผิวได้ แต่ผลลัพธ์ไม่ถาวรและมักจะต้องทำการฉีดซ้ำทุกๆ 3-6 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่

อาการหลังฉีดโบท็อกซ์
หลังจากการฉีดโบท็อกซ์, ผู้ที่รับการฉีดอาจประสบกับอาการดังต่อไปนี้ :
ความรู้สึกไม่สบายในบริเวณที่ฉีด : อาจมีความรู้สึกแน่นหรือเจ็บเล็กน้อยที่บริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปภายในไม่กี่วัน
บวมและรอยช้ำ : บางครั้งอาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำเล็กน้อยที่บริเวณการฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์
ปวดหัว : ผู้ที่รับการฉีดบางคนอาจมีอาการปวดหัว แต่อาการนี้มักจะเป็นเพียงชั่วคราว
ความรู้สึกแน่นหรือหนักในบริเวณที่ฉีด : ในบางกรณี, อาจมีความรู้สึกแน่นหรือหนักเล็กน้อยที่บริเวณการฉีด
ไม่ควรนวดหรือกดที่บริเวณที่ฉีด : หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดที่บริเวณที่ฉีดหลังการรับการฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการกระจายของโบท็อกซ์ไปยังบริเวณอื่น
เวียนศีรษะหรืออาการเหมือนจะเป็นลม : ในกรณีที่หายาก, บางคนอาจมีอาการเวียนศีรษะหรือรู้สึกเหมือนจะเป็นลมหลังการฉีด
การหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ : ในกรณีที่หายากมาก, การฉีดโบท็อกซ์อาจทำให้เกิดการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อในบริเวณที่ใกล้เคียงกับที่ฉีด
เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ที่รับการฉีดโบท็อกซ์ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและติดต่อแพทย์ทันทีหากพบว่ามีอาการผิดปกติหลังการฉีด

ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อก
หลังจากการฉีดโบท็อกซ์, มีข้อห้ามบางประการที่ควรปฏิบัติตามเพื่อป้องกันผลข้างเคียงและรักษาผลลัพธ์ให้ได้ดีที่สุด :
หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดที่บริเวณที่ฉีด : ควรหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดที่บริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังการฉีด เพื่อป้องกันการกระจายของโบท็อกซ์ไปยังบริเวณอื่นๆ
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก : ควรงดการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนมากเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังการฉีด
ไม่นอนราบหรือโน้มหน้าลง : ควรหลีกเลี่ยงการนอนราบหรือโน้มหน้าลงเป็นเวลาหลายชั่วโมงหลังการฉีด เพื่อป้องกันโบท็อกซ์จากการเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่น
หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อนสูง : ควรหลีกเลี่ยงการใช้ซาวน่า, อ่างน้ำร้อน, หรือการอาบน้ำร้อนมากเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังการฉีด
ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ : ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนและหลังการฉีด
หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนัก : หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหนักที่บริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
ไม่ใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์บางชนิด : ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำ, เช่น แอสไพรินหรือยาต้านการอักเสบ
ข้อแนะนำเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้การรักษาด้วยโบท็อกซ์มีประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ สามารถนำมาซึ่งผลข้างเคียงบางประการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงชั่วคราวและไม่รุนแรง ต่อไปนี้คือผลข้างเคียงที่พบบ่อย :
บวมและรอยช้ำ : บริเวณที่ฉีดอาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำเล็กน้อย โดยปกติจะหายไปภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์
ปวดหัว : บางคนอาจมีอาการปวดหัวหลังจากการฉีด แต่โดยทั่วไปอาการนี้จะหายไปภายในไม่กี่วัน
ความรู้สึกไม่สบายในบริเวณที่ฉีด : อาการเช่นความรู้สึกแน่นหรือเจ็บเล็กน้อยอาจเกิดขึ้นที่บริเวณการฉีด
ความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ : ในกรณีที่หายาก, โบท็อกซ์อาจกระจายไปยังกล้ามเนื้อใกล้เคียงและทำให้เกิดความหย่อนคล้อยชั่วคราว
ความผิดปกติในการแสดงออกทางใบหน้า : อาจเกิดความผิดปกติในการแสดงออกทางใบหน้า หากมีการฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อที่ไม่เหมาะสม
อาการแพ้ : แม้จะหายาก แต่บางคนอาจมีอาการแพ้ต่อโบท็อกซ์ ซึ่งอาจรวมถึงอาการคัน, ผื่น, หรือลมพิษ
หย่อนสมรรถภาพทางกล้ามเนื้อ : โบท็อกซ์อาจทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดหย่อนลง ส่งผลให้เกิดความอ่อนแอชั่วคราว
อาการเวียนศีรษะหรือรู้สึกเหมือนจะเป็นลม : บางคนอาจรู้สึกเวียนศีรษะหรือเหมือนจะเป็นลมหลังจากการฉีด
ในกรณีที่หายากมาก, โบท็อกซ์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงขึ้น เช่น ปัญหาในการหายใจ หรือกลืน หากมีอาการผิดปกติหรืออาการข้างเคียงที่น่ากังวล ควรติดต่อแพทย์ทันที

ฉีดโบท็อกซ์เจ็บไหม
การฉีดโบท็อกซ์ โดยทั่วไปมีความเจ็บปวดน้อยมาก ผู้ที่ได้รับการฉีดมักจะรู้สึกเพียงความไม่สบายเล็กน้อยที่บริเวณที่ฉีด อาการเจ็บปวดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความไวต่อความเจ็บปวดของแต่ละบุคคล, พื้นที่ที่รับการฉีด, และเทคนิคของผู้ปฏิบัติการ
การฉีดโบท็อกซ์มักจะทำด้วยเข็มที่เล็กและบางมาก ซึ่งช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย บางกรณีอาจใช้ครีมชาหรือเย็นที่บริเวณที่จะฉีดเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด
ในส่วนของอาการหลังการฉีด บางคนอาจมีความรู้สึกแน่นหรือเจ็บเล็กน้อยที่บริเวณที่ฉีด แต่อาการเหล่านี้มักจะหายไปภายในไม่กี่วัน
Q&A ถาม-ตอบ การฉีด BOTOX
Q : โบท็อกซ์มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?
A : ผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่ บวมหรือรอยช้ำที่บริเวณที่ฉีด, ปวดหัว, ความรู้สึกแน่นหรือเจ็บเล็กน้อย ผลข้างเคียงรุนแรงมีน้อยแต่อาจรวมถึงความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อหรืออาการแพ้
Q : มีข้อห้ามอะไรบ้างหลังการฉีดโบท็อกซ์ ?
A : หลังการฉีดควรหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดที่บริเวณที่ฉีด, การออกกำลังกายหนัก, การใช้แอลกอฮอล์, และการสัมผัสความร้อนสูง เช่น ซาวน่าหรืออ่างน้ำร้อน เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
Q : โบท็อกซ์ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล ?
A : ผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์มักจะเริ่มปรากฏภายใน 3-7 วันหลังการฉีด และผลลัพธ์สูงสุดมักจะชัดเจนในช่วง 10-14 วัน
Q : ฉีดโบท็อกซ์เจ็บไหม ?
A : การฉีดโบท็อกซ์โดยทั่วไปมีความเจ็บปวดน้อยมาก เนื่องจากใช้เข็มที่เล็กและบาง บางครั้งอาจใช้ครีมชาเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด